เรื่องที่ 5 นี้ จั่วหัวมาฟังดูเศร้า...แต่เรื่องราวข้างในจะเป็นอย่างไร ทำไมต้องกล่าวคำอำลา ?
ไปอ่านกันครับผม....


ฝนตกกระหน่ำลงมาอย่างกับฟ้ารั่ว ในขณะที่ผมกำลังเดินหิ้วถุงกีตาร์สีดำฝ่าสายฝนกลับไปที่บ้านเช่า หลังจากทำงานร้องเพลงเสร็จจากร้านอาหารแห่งหนึ่งในตัวเมืองซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านเช่าที่ว่ามากนัก เวลาสามทุ่มกว่าแล้วตอนนี้
พอถึงหน้าประตูรั้วบ้าน ผมก็เห็นสาวสวยคนหนึ่งยืนกางร่มรออยู่แล้ว เมื่อผมเดินเข้าไปใกล้จะถึง เธอก็พูดเสียงดังแหวกเสียงฟ้าฝนมาให้ได้ยิน
“ มาแล้วเหรอคะ นัท, ร่มก็ไม่เอาไปด้วย รีบเข้าบ้านเถอะค่ะ ฝนตกหนักมากเลย”
“โอเคจ้ะหนิง” ผมตะโกนตอบแล้วรีบจ้ำพรวดๆไปถึงตัวเธอ หอมแก้มเธอทีหนึ่ง ผมทำแบบนี้ทุกครั้งที่กลับมาถึงบ้านแล้วพบเธอยืนรออยู่ เธอจะมายืนรอผมเสมอ ทุกคืน ไม่ว่าฟ้าฝนจะเป็นอย่างไร ดังนั้นผมจึงไม่อาจเถลไถลไปที่อื่นได้ ทำงานเล่นดนตรีร้องเพลงเสร็จก็ต้องรีบกลับบ้าน
ผมเดินกอดคอเธอเข้าบ้านขณะที่เธอเอามือซ้ายโอบเอวผม มือขวาถือร่มกางคุ้มหัวเราทั้งคู่ หลังจากได้เข้าไปในบ้านเธอก็ไล่ให้ผมไปอาบน้ำ
“ไปอาบน้ำก่อนไป๊ ! สระผมด้วยนะ ตากฝนมาแบบนี้ เดี๋ยวอาบน้ำเสร็จค่อยมากินข้าว หนิงเตรียมกับข้าวไว้ให้แล้วจ้ะ”
“น่ารักจัง” ผมว่าแล้วดึงตัวเธอมากอด จูบหนักหน่วงให้เธอไปหนึ่งจ๊วบ ก่อนจะไปคว้าผ้าขนหนูเข้าห้องน้ำ
“เซี้ยวจริง คนบ้า!” เธอมองค้อน แต่ก็ยิ้มที่มุมปาก
“บ้าก็บ้ารักจ้า...” ผมหันหน้ากลับไปตอบ ยื่นปากจู๋ให้
“เข้าห้องน้ำไป !!” เธอยืนเท้าสะเอวเอ็ดตะโรไล่
ผมเดินผิวปากอย่างมีความสุขเข้าห้องน้ำ เปิดน้ำอุ่นจากฝักบัวอาบอย่างสบายใจ อาบพลางคิดไปพลาง “เดี๋ยวเถอะน่า...อาบเสร็จขอนาบให้หนำใจสักทีหนึ่งก่อน ค่อยกินข้าวทีหลัง!”
ผมอยู่กินกับหนิงมาเกือบเดือนแล้ว ที่บ้านเช่าหลังนี้แหละ
อันที่จริงตอนที่ผมมาหาบ้านเช่าเมื่อเดือนก่อน ผมได้บ้านอีกหลังหนึ่งซึ่งอยู่ติดๆกัน แต่พออยู่ไปได้ไม่ถึงอาทิตย์ คืนวันหนึ่งผมกลับมาจากทำงาน กำลังจะเข้าบ้าน ผมเห็นหนิงนั่งอยู่บนม้านั่งหินอ่อนหน้าบ้านหลังนี้ นั่งอยู่คนเดียวอย่างเหม่อลอย ลมพัดแรง ฝนทำท่าว่าจะตก ได้ยินเสียงฟ้าร้องดังครืนๆมาเป็นระยะๆ ผมเข้าไปหาเธอ เราทำความรู้จักกัน และผมรู้สึกชอบเธอทันทีที่ได้เห็นหน้าเธอในระยะใกล้ ยังจดจำถ้อยคำที่เราคุยกันในคืนนั้นได้ไม่เคยลืมแม้สักคำเดียว
“ทำไมมานั่งอยู่ข้างนอกคนเดียวตอนกลางคืนแบบนี้ล่ะครับคุณหนิง ? ไม่กลัวหรือครับ อันตรายนะ”
“ไม่หรอกค่ะคุณนัท” เธอส่ายหน้าอย่างแช่มช้า และเสียงของเธอฟังดูเนิบๆ แต่เซ็กซี่มากในความรู้สึกของผม “หนิงชอบออกมานั่งรับลมเย็นๆแบบนี้บ่อยๆ อยู่แต่ในบ้านมันอึดอัดอะค่ะ”
“ผมว่า มันไม่ค่อยจะปลอดภัยนะครับ” ผมแย้งด้วยความเป็นห่วง และหวงด้วยสิ ก็เริ่มชอบเธอ เริ่มหลงรักเธอเข้าให้แล้วนี่นา “มันดูเงียบๆ เปลี่ยวด้วย เกิดมีคนร้ายโผล่มา คุณหนิงจะทำยังไง ? จะแย่เอานะครับ เป็นคนสวยด้วย” ประโยคสุดท้ายผมตั้งใจแจกขนมจีบเต็มๆ
เธอยิ้มพราย ด้วยแววตาสุกใสเป็นประกาย
“หนิงเนี่ยเหรอคะสวย ? ไม่สวยหรอก คนสวยกว่าหนิงมีเยอะแยะไป แล้วก็ไม่กลัวหรอกค่ะคนร้ายน่ะ” เธอหยุดนิดหนึ่ง แล้วก็พูดต่อ ฟังดูเหมือนทีเล่นทีจริง
“บางที...คนร้ายต่างหาก อาจจะต้องกลัวหนิงค่ะ!”
“ฮะ !” ผมอุทาน เลิกคิ้วขึ้น “ไหงเป็นงั้นครับ ?”
“หนิงน่ากลัวนะ!” เธอพูดแล้วมองผมเหมือนมีปริศนาซ่อนเร้นและท้าทายอยู่ในที
“น่ากลัวยังไงครับ ?” ผมถามยิ้มๆ
“หนิงเรียนการต่อสู้มาค่ะ ยูโด เทควอนโด้ คาราเต้ ! มวยไทยก็พอได้นะ ใครลองเข้ามาแหยมดูสิ!!”
“โอ้วว...มายก้อดด” ผมอุทานแล้วก็หัวเราะ “อย่างนี้นี่เอง ถึงได้กล้ามานั่งอยู่คนเดียวหน้าบ้านมืดๆเงียบๆเปลี่ยวๆแบบนี้”
หลังจากนั้น เธอก็เชิญชวนผมเข้าไปดื่มน้ำชาในบ้านของเธอ ซึ่งก็คือบ้านหลังนี้ที่ผมอยู่กับเธอในตอนนี้แหละ เราคุยกันอย่างถูกอัธยาศัยใจคอ เธอบอกว่าเธอทำงานอยู่อีกอำเภอหนึ่งซึ่งห่างไกลจากที่นี่ ต้องออกจากบ้านแต่เช้าตรู่ กว่าจะกลับถึงบ้านก็ค่ำมืด ส่วนผมเอง กลางวันไปทำงานขายของ ขายเครื่องเฟอร์นิเจอร์แกะสลัก เลิกงาน 4 โมงเย็น กลับมาพักผ่อนที่บ้านสามชั่วโมงแล้วก็ออกไปร้องเพลงเล่นโฟล์คซองที่ร้านอาหาร เลิกงานสามทุ่ม
ผมกับหนิง คบหากันได้ราว ๆ ครึ่งเดือน เธอก็ไว้เนื้อเชื่อใจผม ให้ผมค้างคืนอยู่ด้วยกันกับเธอในคืนวันหนึ่ง เราได้เป็นของกันและกัน และผมชวนเธอให้ย้ายมาอยู่ที่บ้านซึ่งผมเช่า แต่เธอบอกว่าเธอไม่อยากย้าย เธอรักบ้านหลังนี้มากเพราะอยู่มานานแล้ว ถึงแม้ว่าสภาพบ้านจะดูเก่าไปหน่อย ไม่ใหม่เหมือนบ้านหลังที่ผมอยู่ก็ตามที ผมก็เลยตัดสินใจบอกเธอว่าถ้าอย่างนั้นผมย้ายมาอยู่กับเธอเองก็แล้วกัน เธอไม่ขัดข้องและแสดงความดีใจและพึงพอใจมาก
วันรุ่งขึ้นผมจึงไปบอกเจ้าของบ้านเช่าว่าผมขอย้ายไปอยู่บ้านอีกหลังหนึ่งซึ่งอยู่ติดกัน เจ้าของบ้านเช่าซึ่งเป็นผู้หญิงวัยกลางคนทำท่าอึ้งอยู่ชั่วขณะ และถามผมว่าทำไมถึงอยากจะย้ายไปอยู่บ้านหลังนั้น ผมจึงเล่าเรื่องความสัมพันธ์ของผมกับหนิงให้ฟัง เจ้าของบ้านเช่าฟังแล้วทำท่าครุ่นคิดนิดหนึ่ง ก่อนจะถามผม “คุณนัท แน่ใจนะคะ ว่าอยากจะย้ายไปอยู่ที่บ้านนั้นจริงๆ ?”
“แน่ใจสิครับป้าแช่ม” ผมพยักหน้าตอบยิ้มๆ “ก็ผมได้แฟนคนสวยทั้งคนอยู่บ้านนั้น ชวนเธอให้ย้ายมาอยู่ที่บ้านผมเธอก็ไม่ยอมมา ผมก็เลยต้องย้ายไปอยู่กับเธอ จะได้หายห่วง ผมเห็นเธอชอบออกมานั่งเล่นอยู่หน้าบ้านตอนกลางคืนบ่อยๆ อดเป็นห่วงไม่ได้ครับ”
“ป้าแช่ม” เจ้าของบ้านเช่าทำตาโต ห่อปาก แล้วรีบตอบทันที “เอาๆ ก็ได้ ก็ได้.. ตามใจคุณนัทละกันค่ะ”
“ขอบคุณครับป้า” ผมกล่าวขอบคุณอย่างลิงโลด “งั้นพรุ่งนี้วันเสาร์ ซึ่งเป็นวันหยุด ผมจะขนของย้ายเข้าบ้านคุณหนิงเลยนะครับ”
“เอ้อ ค่ะ ค่ะ” ป้าแช่มตอบ ผมแปลกใจที่แกพูดตะกุกตะกักคล้ายคนติดอ่าง ซึ่งปกติแกไม่เป็น “อ่า...ยินดีด้วยค่ะ คุณนัท ที่ได้แฟน”
“ขอบคุณครับป้า” ผมยิ้มให้แก ก่อนจะเดินจากไปในวันนั้น และวันเสาร์หลังวันนั้นผมก็ขนข้าวขนของย้ายเข้ามาอยู่กับหนิงที่บ้านนี้ มันช่างเป็น Home Sweet Home บ้านแสนสุข เต็มเปี่ยมไปด้วยความรักสำหรับผมโดยแท้ หนิงให้ความรักอันแสนหวานและอบอุ่นแก่ผม ทำทุกอย่างเพื่อผม เอาอกเอาใจผมทุกอย่าง ผมคิดว่าผมโชคดีเหลือเกินที่ได้มาพบเธอ คงเป็นพรหมลิขิตกระมัง ?
ผมอาบน้ำไป คิดทบทวนถึงเรื่องราวที่ผ่านมาไปอย่างเพลิดเพลิน จนได้ยินเสียงหนิงเคาะประตูห้องน้ำและร้องเรียกผม “ใกล้เสร็จหรือยังคะ ? อาบน้ำนานจังเลย..”
“เสร็จแล้วจ้า” ผมตะโกนตอบ แล้วปิดน้ำฝักบัว นุ่งผ้าขนหนูเปิดประตูออกจากห้องน้ำ เห็นเธอยืนหน้าง้ำรออยู่
“ทำไมอาบน้ำนานจังคะ ? นานกว่าทุกครั้งเลย กับข้าวจะเย็นหมดแล้วมั้ง”
“ขอโทษทีจ้ะที่รัก” ผมกล่าวขอโทษขอโพย แล้วยื่นหน้าไปหอมแก้มเธอทีหนึ่ง “พอดีว่า คิดเรื่องอะไรเรื่อยเปื่อยจนลืมเวลา”
“คิดเรื่องอะไรเหรอคะ ?” เธอเอียงคอถามพร้อมกับยิ้ม ผมชอบเวลาที่เธอยิ้มทุกครั้ง มันช่างสวยน่ารักเสียเหลือเกินจนนึกมันเขี้ยว!
“ก็...คิดถึงเรื่องของเราสองคน ที่ได้มาเจอกันน่ะจ้ะ”
“อืมม...คิดว่าเป็นไงคะ ?”
“เหมือนฝัน...” ผมพูดไปตรงๆตามที่ใจรู้สึก “ยังไม่อยากเชื่อว่าเป็นความจริงเลยว่า นัทได้มาเจอ และได้มาอยู่กับคนรักคนสวยแสนดีคนนี้”
“แหวะ! ไม่ต้องมาหวานมากนักหรอก!” เธอทำหน้าและจมูกย่น แลบลิ้นใส่ แล้วผลักผมเซแซ่ดๆไปที่ตู้เสื้อผ้า “ไปใส่เสื้อผ้าไป๊ ! แล้วเดี๋ยวมากินข้าว”
“ไม่ต้องใส่ก็ได้มั้ง ?” ผมหันมาทำหน้าทะเล้น
“บ้า !!”
ผมหัวเราะหึหึ เปิดตู้เสื้อผ้า หยิบชุดนอนออกมา และพูดแหย่เธอต่อ
“ใส่แล้ว เดี๋ยวก็ต้องถอดหมดอยู่ดี !”
“เดี๋ยวเหอะ !!” โดนเธอตวาดแว้ดมาจริงดังคาด ทำผมขำหัวเราะพุงกระเพื่อม
ใส่ชุดนอนแล้วก็มานั่งกินข้าวที่โต๊ะ และเป็นครั้งที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้ที่เธอปล่อยให้ผมกินอยู่คนเดียว โดยเธอบอกว่าเธอจัดการกับตัวเองมาก่อนแล้วตั้งแต่หัวค่ำ
“นัทอยากให้หนิงรอกินพร้อมกัน หลังจากกลับถึงบ้านจังเลย” ผมโอดครวญ
“ก็หนิงหิวนี่นา...ทุ่มนึงก็หิวแล้ว กว่านัทจะมาก็ตั้งสามทุ่ม หนิงรอไม่ไหว ก็ต้องกินก่อนอะ จะให้หนิงทนหิวรอนัทเหรอคะ ?”
ผมรีบโบกไม้โบกมือปฏิเสธ “เปล่าๆๆจ้ะ ไม่ใช่อย่างนั้น แค่บอกความรู้สึกของนัทเฉยๆ ไม่ได้จะให้หนิงทนหิวรอแบบนั้น”
เธอนั่งยิ้ม มองผมกินข้าวต่อ
“อันที่จริง นัทกินไป มองหนิงไปแบบนี้ก็รู้สึกดีนะ”
“หืมม ??? ดียังไงคะ ?”
“ก็...ทำให้กินข้าวอร่อย กินได้เยอะด้วย”
“เห็นหนิงเป็นกับข้าว หรือเครื่องปรุงเหรอ ?”
“งั้นมั้ง...”
“มัวแต่พูดเล่นอยู่นั่นแหละ กินต่อเถอะค่ะ เอาแกงไก่เพิ่มอีกไหมคะ จะหมดชามแล้ว ?”
“Yes, please..”
“ฝรั่งขี้นก!” เธอพูดแล้วแลบลิ้น ก่อนจะหยิบชามใส่แกงไก่ไปตักเพิ่มมาให้
กินข้าวอิ่มแล้วผมก็ชวนเธอนั่งดูหนังก่อนเข้านอน ผมชวนเธอดูเรื่อง ไททานิค หนังเก่าแต่ดูไม่เคยเบื่อ ไม่ได้เปิดดูนานแล้ว คืนนี้นึกอยากดูขึ้นมา พอชวนเธอดูหนัง เธอเสนอแนะขึ้นมาก่อนเลย
“ดูไททานิคไหมคะ ? นัทเคยบอกว่าชอบเรื่องนี้มาก เหมือนหนิงเลย เปิดดูกันอีกทีไหมอ่า...?”
“ใจตรงกันเลยจ้ะ!” ผมตอบ รู้สึกทึ่งที่เธอคิดตรงกับตัวเอง แล้วลุกขึ้นจากโซฟาไปที่เครื่องเล่นบลูเรย์ซึ่งวางอยู่ใกล้กับทีวีจอ 50 นิ้ว ดึงลิ้นชักใต้ตู้วางทีวีออกมาค้นหาแผ่นหนัง “เจอละ” แล้วก็หยิบแผ่นออกมาจากกล่องใส่เข้าเครื่องเปิดแล้วกลับมานั่งเคียงข้างเธอ
หนังเรื่องนี้ พอถึงตอนที่บีบหัวใจทีไร ต่อมน้ำตาแตกทุกที ตอนโรสตัดสินใจโดดกลับจากเรือบดขึ้นเรือไททานิคซึ่งกำลังจะจม แล้วสองหนุ่มสาววิ่งไปคนละทางไปเจอกันที่นาฬิการ้องไห้กอดกันนั่นตอนหนึ่ง และตอนที่แจ๊คให้โรสนอนคนเดียวบนแผ่นกระดาน ตัวเองลอยอยู่ในน้ำเกาะแผ่นกระดานจนแข็งตาย และโรสรักษาสัญญาจะรักษาชีวิตไว้ไม่ยอมตายแล้วแกะมือแจ๊คซึ่งเกาะกุมมือเธอออก ปล่อยเขาจมลงไปในน้ำนั่นคือตอนที่เศร้าสุดๆ ดูถึงตอนนี้ทีไรน้ำตาไหลทุกที
“ยี้...คนขี้แย ร้องไห้อีกแล้ว...” หนิงหยอกผม แล้วหยิบกระดาษทิชชู่มาซับน้ำตาให้ผม หอมแก้มผมทีหนึ่งแล้วเบียดตัวเข้ามาซุกที่หน้าอก
“รู้ไหมคะ อย่างหนึ่งของนัทที่ทำให้หนิงรักมากๆ คืออะไร ?”
ผมก้มลงหอมแก้มเธอตอบแล้วถาม ตาดูหนังซึ่งกำลังถึงตอนจบ “อะไรจ๊ะที่รัก ?”
“นัทเป็นผู้ชายที่ ทั้ง Romantic ทั้ง Sensitive มากเลย หนิงไม่เคยเจอผู้ชายคนไหนเป็นมากขนาดนี้”
“อ้อ...ที่แท้ สเป็คของหนิง เป็นแบบนี้เหรอ ?”
“ก็...ไม่รู้สิคะ เอาจริงๆ ก็ไม่ได้ตั้งไว้หรอกนะว่า ผู้ชายที่จะรักต้องมีคุณสมบัติยังงี้ๆ ไม่เคยคิดอะ แต่พอสัมผัสนัทแล้ว ประทับใจ”
ฟังเธอพูดแล้ว รู้สึกหัวใจตัวเองพองโตจนคับอก อดไม่ได้ที่จะก้มลงจูบริมฝีปากเธออย่างดูดดื่ม
ดูหนังจนจบเรื่องแล้วผมก็ปิดทีวี ชวนเธอเข้าห้องนอน แน่ละ...กิจกรรมแห่งความรักต้องเกิดขึ้นก่อนจะพากันเข้าสู่นิทรา
ช่วงหนึ่งของการเล้าโลม ผมเผลอจูบเข้าที่รอยแผลเป็นซึ่งเป็นขีดยาวที่หน้าท้องใกล้สะดือข้างขวาของเธอ รอยแผลเป็นตรงนั้นมันน่าหลงใหลเร้าอารมณ์ต่อผมมาก
“โอ๊ยย....” เธอร้องเสียงดัง แต่ไม่ใช่เพราะความเสียวซ่าน แต่เป็นความเจ็บปวดซึ่งเธอเคยบอกผมมาก่อนแล้ว
ผมชะงัก ถอนปากขึ้นมา
“โอ้...ขอโทษๆจ้ะ ที่รัก มันเผลอตัวไป...ขอโทษนะ” ระล่ำระลักขอโทษเธอแล้วรีบเคลื่อนตัวขึ้นไปหา ค่อยๆประทับจูบลงไปที่ริมฝีปากเบาๆ
“มันเจ็บอะ...จริงๆนะ” เธอทำหน้าละห้อย น้ำตาหยาดหนึ่งไหลออกมา “พยายามอย่าเผลอไปจูบตรงนั้นเลยนะคะ”
ผมรู้สึกอยากชกหน้าตัวเอง สงสารเธอจับใจ จูบเธอที่หน้าผาก แล้วให้สัญญา
“โอเคจ้ะที่รัก นัทจะไม่จูบแผลตรงนั้นอีกแล้ว ขอโทษอีกครั้งนะ...”
“ค่ะ..”
จากนั้น เราก็ดำเนินลีลารักกันต่อไปจนบรรลุจุดหมายปลายทาง แล้วหลับไปด้วยกันอย่างเป็นสุข
(มีต่อครับ)
⚡️💧💦⚡️ ถุงมือนักเขียน เรื่องที่ 5 "ลาก่อนที่รัก" โดย "ถุงมือคนเหงา" ครับ ⚡️💧💦⚡️
เรื่องที่ 5 นี้ จั่วหัวมาฟังดูเศร้า...แต่เรื่องราวข้างในจะเป็นอย่างไร ทำไมต้องกล่าวคำอำลา ?
ไปอ่านกันครับผม....
ฝนตกกระหน่ำลงมาอย่างกับฟ้ารั่ว ในขณะที่ผมกำลังเดินหิ้วถุงกีตาร์สีดำฝ่าสายฝนกลับไปที่บ้านเช่า หลังจากทำงานร้องเพลงเสร็จจากร้านอาหารแห่งหนึ่งในตัวเมืองซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านเช่าที่ว่ามากนัก เวลาสามทุ่มกว่าแล้วตอนนี้
พอถึงหน้าประตูรั้วบ้าน ผมก็เห็นสาวสวยคนหนึ่งยืนกางร่มรออยู่แล้ว เมื่อผมเดินเข้าไปใกล้จะถึง เธอก็พูดเสียงดังแหวกเสียงฟ้าฝนมาให้ได้ยิน
“ มาแล้วเหรอคะ นัท, ร่มก็ไม่เอาไปด้วย รีบเข้าบ้านเถอะค่ะ ฝนตกหนักมากเลย”
“โอเคจ้ะหนิง” ผมตะโกนตอบแล้วรีบจ้ำพรวดๆไปถึงตัวเธอ หอมแก้มเธอทีหนึ่ง ผมทำแบบนี้ทุกครั้งที่กลับมาถึงบ้านแล้วพบเธอยืนรออยู่ เธอจะมายืนรอผมเสมอ ทุกคืน ไม่ว่าฟ้าฝนจะเป็นอย่างไร ดังนั้นผมจึงไม่อาจเถลไถลไปที่อื่นได้ ทำงานเล่นดนตรีร้องเพลงเสร็จก็ต้องรีบกลับบ้าน
ผมเดินกอดคอเธอเข้าบ้านขณะที่เธอเอามือซ้ายโอบเอวผม มือขวาถือร่มกางคุ้มหัวเราทั้งคู่ หลังจากได้เข้าไปในบ้านเธอก็ไล่ให้ผมไปอาบน้ำ
“ไปอาบน้ำก่อนไป๊ ! สระผมด้วยนะ ตากฝนมาแบบนี้ เดี๋ยวอาบน้ำเสร็จค่อยมากินข้าว หนิงเตรียมกับข้าวไว้ให้แล้วจ้ะ”
“น่ารักจัง” ผมว่าแล้วดึงตัวเธอมากอด จูบหนักหน่วงให้เธอไปหนึ่งจ๊วบ ก่อนจะไปคว้าผ้าขนหนูเข้าห้องน้ำ
“เซี้ยวจริง คนบ้า!” เธอมองค้อน แต่ก็ยิ้มที่มุมปาก
“บ้าก็บ้ารักจ้า...” ผมหันหน้ากลับไปตอบ ยื่นปากจู๋ให้
“เข้าห้องน้ำไป !!” เธอยืนเท้าสะเอวเอ็ดตะโรไล่
ผมเดินผิวปากอย่างมีความสุขเข้าห้องน้ำ เปิดน้ำอุ่นจากฝักบัวอาบอย่างสบายใจ อาบพลางคิดไปพลาง “เดี๋ยวเถอะน่า...อาบเสร็จขอนาบให้หนำใจสักทีหนึ่งก่อน ค่อยกินข้าวทีหลัง!”
ผมอยู่กินกับหนิงมาเกือบเดือนแล้ว ที่บ้านเช่าหลังนี้แหละ
อันที่จริงตอนที่ผมมาหาบ้านเช่าเมื่อเดือนก่อน ผมได้บ้านอีกหลังหนึ่งซึ่งอยู่ติดๆกัน แต่พออยู่ไปได้ไม่ถึงอาทิตย์ คืนวันหนึ่งผมกลับมาจากทำงาน กำลังจะเข้าบ้าน ผมเห็นหนิงนั่งอยู่บนม้านั่งหินอ่อนหน้าบ้านหลังนี้ นั่งอยู่คนเดียวอย่างเหม่อลอย ลมพัดแรง ฝนทำท่าว่าจะตก ได้ยินเสียงฟ้าร้องดังครืนๆมาเป็นระยะๆ ผมเข้าไปหาเธอ เราทำความรู้จักกัน และผมรู้สึกชอบเธอทันทีที่ได้เห็นหน้าเธอในระยะใกล้ ยังจดจำถ้อยคำที่เราคุยกันในคืนนั้นได้ไม่เคยลืมแม้สักคำเดียว
“ทำไมมานั่งอยู่ข้างนอกคนเดียวตอนกลางคืนแบบนี้ล่ะครับคุณหนิง ? ไม่กลัวหรือครับ อันตรายนะ”
“ไม่หรอกค่ะคุณนัท” เธอส่ายหน้าอย่างแช่มช้า และเสียงของเธอฟังดูเนิบๆ แต่เซ็กซี่มากในความรู้สึกของผม “หนิงชอบออกมานั่งรับลมเย็นๆแบบนี้บ่อยๆ อยู่แต่ในบ้านมันอึดอัดอะค่ะ”
“ผมว่า มันไม่ค่อยจะปลอดภัยนะครับ” ผมแย้งด้วยความเป็นห่วง และหวงด้วยสิ ก็เริ่มชอบเธอ เริ่มหลงรักเธอเข้าให้แล้วนี่นา “มันดูเงียบๆ เปลี่ยวด้วย เกิดมีคนร้ายโผล่มา คุณหนิงจะทำยังไง ? จะแย่เอานะครับ เป็นคนสวยด้วย” ประโยคสุดท้ายผมตั้งใจแจกขนมจีบเต็มๆ
เธอยิ้มพราย ด้วยแววตาสุกใสเป็นประกาย
“หนิงเนี่ยเหรอคะสวย ? ไม่สวยหรอก คนสวยกว่าหนิงมีเยอะแยะไป แล้วก็ไม่กลัวหรอกค่ะคนร้ายน่ะ” เธอหยุดนิดหนึ่ง แล้วก็พูดต่อ ฟังดูเหมือนทีเล่นทีจริง
“บางที...คนร้ายต่างหาก อาจจะต้องกลัวหนิงค่ะ!”
“ฮะ !” ผมอุทาน เลิกคิ้วขึ้น “ไหงเป็นงั้นครับ ?”
“หนิงน่ากลัวนะ!” เธอพูดแล้วมองผมเหมือนมีปริศนาซ่อนเร้นและท้าทายอยู่ในที
“น่ากลัวยังไงครับ ?” ผมถามยิ้มๆ
“หนิงเรียนการต่อสู้มาค่ะ ยูโด เทควอนโด้ คาราเต้ ! มวยไทยก็พอได้นะ ใครลองเข้ามาแหยมดูสิ!!”
“โอ้วว...มายก้อดด” ผมอุทานแล้วก็หัวเราะ “อย่างนี้นี่เอง ถึงได้กล้ามานั่งอยู่คนเดียวหน้าบ้านมืดๆเงียบๆเปลี่ยวๆแบบนี้”
หลังจากนั้น เธอก็เชิญชวนผมเข้าไปดื่มน้ำชาในบ้านของเธอ ซึ่งก็คือบ้านหลังนี้ที่ผมอยู่กับเธอในตอนนี้แหละ เราคุยกันอย่างถูกอัธยาศัยใจคอ เธอบอกว่าเธอทำงานอยู่อีกอำเภอหนึ่งซึ่งห่างไกลจากที่นี่ ต้องออกจากบ้านแต่เช้าตรู่ กว่าจะกลับถึงบ้านก็ค่ำมืด ส่วนผมเอง กลางวันไปทำงานขายของ ขายเครื่องเฟอร์นิเจอร์แกะสลัก เลิกงาน 4 โมงเย็น กลับมาพักผ่อนที่บ้านสามชั่วโมงแล้วก็ออกไปร้องเพลงเล่นโฟล์คซองที่ร้านอาหาร เลิกงานสามทุ่ม
ผมกับหนิง คบหากันได้ราว ๆ ครึ่งเดือน เธอก็ไว้เนื้อเชื่อใจผม ให้ผมค้างคืนอยู่ด้วยกันกับเธอในคืนวันหนึ่ง เราได้เป็นของกันและกัน และผมชวนเธอให้ย้ายมาอยู่ที่บ้านซึ่งผมเช่า แต่เธอบอกว่าเธอไม่อยากย้าย เธอรักบ้านหลังนี้มากเพราะอยู่มานานแล้ว ถึงแม้ว่าสภาพบ้านจะดูเก่าไปหน่อย ไม่ใหม่เหมือนบ้านหลังที่ผมอยู่ก็ตามที ผมก็เลยตัดสินใจบอกเธอว่าถ้าอย่างนั้นผมย้ายมาอยู่กับเธอเองก็แล้วกัน เธอไม่ขัดข้องและแสดงความดีใจและพึงพอใจมาก
วันรุ่งขึ้นผมจึงไปบอกเจ้าของบ้านเช่าว่าผมขอย้ายไปอยู่บ้านอีกหลังหนึ่งซึ่งอยู่ติดกัน เจ้าของบ้านเช่าซึ่งเป็นผู้หญิงวัยกลางคนทำท่าอึ้งอยู่ชั่วขณะ และถามผมว่าทำไมถึงอยากจะย้ายไปอยู่บ้านหลังนั้น ผมจึงเล่าเรื่องความสัมพันธ์ของผมกับหนิงให้ฟัง เจ้าของบ้านเช่าฟังแล้วทำท่าครุ่นคิดนิดหนึ่ง ก่อนจะถามผม “คุณนัท แน่ใจนะคะ ว่าอยากจะย้ายไปอยู่ที่บ้านนั้นจริงๆ ?”
“แน่ใจสิครับป้าแช่ม” ผมพยักหน้าตอบยิ้มๆ “ก็ผมได้แฟนคนสวยทั้งคนอยู่บ้านนั้น ชวนเธอให้ย้ายมาอยู่ที่บ้านผมเธอก็ไม่ยอมมา ผมก็เลยต้องย้ายไปอยู่กับเธอ จะได้หายห่วง ผมเห็นเธอชอบออกมานั่งเล่นอยู่หน้าบ้านตอนกลางคืนบ่อยๆ อดเป็นห่วงไม่ได้ครับ”
“ป้าแช่ม” เจ้าของบ้านเช่าทำตาโต ห่อปาก แล้วรีบตอบทันที “เอาๆ ก็ได้ ก็ได้.. ตามใจคุณนัทละกันค่ะ”
“ขอบคุณครับป้า” ผมกล่าวขอบคุณอย่างลิงโลด “งั้นพรุ่งนี้วันเสาร์ ซึ่งเป็นวันหยุด ผมจะขนของย้ายเข้าบ้านคุณหนิงเลยนะครับ”
“เอ้อ ค่ะ ค่ะ” ป้าแช่มตอบ ผมแปลกใจที่แกพูดตะกุกตะกักคล้ายคนติดอ่าง ซึ่งปกติแกไม่เป็น “อ่า...ยินดีด้วยค่ะ คุณนัท ที่ได้แฟน”
“ขอบคุณครับป้า” ผมยิ้มให้แก ก่อนจะเดินจากไปในวันนั้น และวันเสาร์หลังวันนั้นผมก็ขนข้าวขนของย้ายเข้ามาอยู่กับหนิงที่บ้านนี้ มันช่างเป็น Home Sweet Home บ้านแสนสุข เต็มเปี่ยมไปด้วยความรักสำหรับผมโดยแท้ หนิงให้ความรักอันแสนหวานและอบอุ่นแก่ผม ทำทุกอย่างเพื่อผม เอาอกเอาใจผมทุกอย่าง ผมคิดว่าผมโชคดีเหลือเกินที่ได้มาพบเธอ คงเป็นพรหมลิขิตกระมัง ?
ผมอาบน้ำไป คิดทบทวนถึงเรื่องราวที่ผ่านมาไปอย่างเพลิดเพลิน จนได้ยินเสียงหนิงเคาะประตูห้องน้ำและร้องเรียกผม “ใกล้เสร็จหรือยังคะ ? อาบน้ำนานจังเลย..”
“เสร็จแล้วจ้า” ผมตะโกนตอบ แล้วปิดน้ำฝักบัว นุ่งผ้าขนหนูเปิดประตูออกจากห้องน้ำ เห็นเธอยืนหน้าง้ำรออยู่
“ทำไมอาบน้ำนานจังคะ ? นานกว่าทุกครั้งเลย กับข้าวจะเย็นหมดแล้วมั้ง”
“ขอโทษทีจ้ะที่รัก” ผมกล่าวขอโทษขอโพย แล้วยื่นหน้าไปหอมแก้มเธอทีหนึ่ง “พอดีว่า คิดเรื่องอะไรเรื่อยเปื่อยจนลืมเวลา”
“คิดเรื่องอะไรเหรอคะ ?” เธอเอียงคอถามพร้อมกับยิ้ม ผมชอบเวลาที่เธอยิ้มทุกครั้ง มันช่างสวยน่ารักเสียเหลือเกินจนนึกมันเขี้ยว!
“ก็...คิดถึงเรื่องของเราสองคน ที่ได้มาเจอกันน่ะจ้ะ”
“อืมม...คิดว่าเป็นไงคะ ?”
“เหมือนฝัน...” ผมพูดไปตรงๆตามที่ใจรู้สึก “ยังไม่อยากเชื่อว่าเป็นความจริงเลยว่า นัทได้มาเจอ และได้มาอยู่กับคนรักคนสวยแสนดีคนนี้”
“แหวะ! ไม่ต้องมาหวานมากนักหรอก!” เธอทำหน้าและจมูกย่น แลบลิ้นใส่ แล้วผลักผมเซแซ่ดๆไปที่ตู้เสื้อผ้า “ไปใส่เสื้อผ้าไป๊ ! แล้วเดี๋ยวมากินข้าว”
“ไม่ต้องใส่ก็ได้มั้ง ?” ผมหันมาทำหน้าทะเล้น
“บ้า !!”
ผมหัวเราะหึหึ เปิดตู้เสื้อผ้า หยิบชุดนอนออกมา และพูดแหย่เธอต่อ
“ใส่แล้ว เดี๋ยวก็ต้องถอดหมดอยู่ดี !”
“เดี๋ยวเหอะ !!” โดนเธอตวาดแว้ดมาจริงดังคาด ทำผมขำหัวเราะพุงกระเพื่อม
ใส่ชุดนอนแล้วก็มานั่งกินข้าวที่โต๊ะ และเป็นครั้งที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้ที่เธอปล่อยให้ผมกินอยู่คนเดียว โดยเธอบอกว่าเธอจัดการกับตัวเองมาก่อนแล้วตั้งแต่หัวค่ำ
“นัทอยากให้หนิงรอกินพร้อมกัน หลังจากกลับถึงบ้านจังเลย” ผมโอดครวญ
“ก็หนิงหิวนี่นา...ทุ่มนึงก็หิวแล้ว กว่านัทจะมาก็ตั้งสามทุ่ม หนิงรอไม่ไหว ก็ต้องกินก่อนอะ จะให้หนิงทนหิวรอนัทเหรอคะ ?”
ผมรีบโบกไม้โบกมือปฏิเสธ “เปล่าๆๆจ้ะ ไม่ใช่อย่างนั้น แค่บอกความรู้สึกของนัทเฉยๆ ไม่ได้จะให้หนิงทนหิวรอแบบนั้น”
เธอนั่งยิ้ม มองผมกินข้าวต่อ
“อันที่จริง นัทกินไป มองหนิงไปแบบนี้ก็รู้สึกดีนะ”
“หืมม ??? ดียังไงคะ ?”
“ก็...ทำให้กินข้าวอร่อย กินได้เยอะด้วย”
“เห็นหนิงเป็นกับข้าว หรือเครื่องปรุงเหรอ ?”
“งั้นมั้ง...”
“มัวแต่พูดเล่นอยู่นั่นแหละ กินต่อเถอะค่ะ เอาแกงไก่เพิ่มอีกไหมคะ จะหมดชามแล้ว ?”
“Yes, please..”
“ฝรั่งขี้นก!” เธอพูดแล้วแลบลิ้น ก่อนจะหยิบชามใส่แกงไก่ไปตักเพิ่มมาให้
กินข้าวอิ่มแล้วผมก็ชวนเธอนั่งดูหนังก่อนเข้านอน ผมชวนเธอดูเรื่อง ไททานิค หนังเก่าแต่ดูไม่เคยเบื่อ ไม่ได้เปิดดูนานแล้ว คืนนี้นึกอยากดูขึ้นมา พอชวนเธอดูหนัง เธอเสนอแนะขึ้นมาก่อนเลย
“ดูไททานิคไหมคะ ? นัทเคยบอกว่าชอบเรื่องนี้มาก เหมือนหนิงเลย เปิดดูกันอีกทีไหมอ่า...?”
“ใจตรงกันเลยจ้ะ!” ผมตอบ รู้สึกทึ่งที่เธอคิดตรงกับตัวเอง แล้วลุกขึ้นจากโซฟาไปที่เครื่องเล่นบลูเรย์ซึ่งวางอยู่ใกล้กับทีวีจอ 50 นิ้ว ดึงลิ้นชักใต้ตู้วางทีวีออกมาค้นหาแผ่นหนัง “เจอละ” แล้วก็หยิบแผ่นออกมาจากกล่องใส่เข้าเครื่องเปิดแล้วกลับมานั่งเคียงข้างเธอ
หนังเรื่องนี้ พอถึงตอนที่บีบหัวใจทีไร ต่อมน้ำตาแตกทุกที ตอนโรสตัดสินใจโดดกลับจากเรือบดขึ้นเรือไททานิคซึ่งกำลังจะจม แล้วสองหนุ่มสาววิ่งไปคนละทางไปเจอกันที่นาฬิการ้องไห้กอดกันนั่นตอนหนึ่ง และตอนที่แจ๊คให้โรสนอนคนเดียวบนแผ่นกระดาน ตัวเองลอยอยู่ในน้ำเกาะแผ่นกระดานจนแข็งตาย และโรสรักษาสัญญาจะรักษาชีวิตไว้ไม่ยอมตายแล้วแกะมือแจ๊คซึ่งเกาะกุมมือเธอออก ปล่อยเขาจมลงไปในน้ำนั่นคือตอนที่เศร้าสุดๆ ดูถึงตอนนี้ทีไรน้ำตาไหลทุกที
“ยี้...คนขี้แย ร้องไห้อีกแล้ว...” หนิงหยอกผม แล้วหยิบกระดาษทิชชู่มาซับน้ำตาให้ผม หอมแก้มผมทีหนึ่งแล้วเบียดตัวเข้ามาซุกที่หน้าอก
“รู้ไหมคะ อย่างหนึ่งของนัทที่ทำให้หนิงรักมากๆ คืออะไร ?”
ผมก้มลงหอมแก้มเธอตอบแล้วถาม ตาดูหนังซึ่งกำลังถึงตอนจบ “อะไรจ๊ะที่รัก ?”
“นัทเป็นผู้ชายที่ ทั้ง Romantic ทั้ง Sensitive มากเลย หนิงไม่เคยเจอผู้ชายคนไหนเป็นมากขนาดนี้”
“อ้อ...ที่แท้ สเป็คของหนิง เป็นแบบนี้เหรอ ?”
“ก็...ไม่รู้สิคะ เอาจริงๆ ก็ไม่ได้ตั้งไว้หรอกนะว่า ผู้ชายที่จะรักต้องมีคุณสมบัติยังงี้ๆ ไม่เคยคิดอะ แต่พอสัมผัสนัทแล้ว ประทับใจ”
ฟังเธอพูดแล้ว รู้สึกหัวใจตัวเองพองโตจนคับอก อดไม่ได้ที่จะก้มลงจูบริมฝีปากเธออย่างดูดดื่ม
ดูหนังจนจบเรื่องแล้วผมก็ปิดทีวี ชวนเธอเข้าห้องนอน แน่ละ...กิจกรรมแห่งความรักต้องเกิดขึ้นก่อนจะพากันเข้าสู่นิทรา
ช่วงหนึ่งของการเล้าโลม ผมเผลอจูบเข้าที่รอยแผลเป็นซึ่งเป็นขีดยาวที่หน้าท้องใกล้สะดือข้างขวาของเธอ รอยแผลเป็นตรงนั้นมันน่าหลงใหลเร้าอารมณ์ต่อผมมาก
“โอ๊ยย....” เธอร้องเสียงดัง แต่ไม่ใช่เพราะความเสียวซ่าน แต่เป็นความเจ็บปวดซึ่งเธอเคยบอกผมมาก่อนแล้ว
ผมชะงัก ถอนปากขึ้นมา
“โอ้...ขอโทษๆจ้ะ ที่รัก มันเผลอตัวไป...ขอโทษนะ” ระล่ำระลักขอโทษเธอแล้วรีบเคลื่อนตัวขึ้นไปหา ค่อยๆประทับจูบลงไปที่ริมฝีปากเบาๆ
“มันเจ็บอะ...จริงๆนะ” เธอทำหน้าละห้อย น้ำตาหยาดหนึ่งไหลออกมา “พยายามอย่าเผลอไปจูบตรงนั้นเลยนะคะ”
ผมรู้สึกอยากชกหน้าตัวเอง สงสารเธอจับใจ จูบเธอที่หน้าผาก แล้วให้สัญญา
“โอเคจ้ะที่รัก นัทจะไม่จูบแผลตรงนั้นอีกแล้ว ขอโทษอีกครั้งนะ...”
“ค่ะ..”
จากนั้น เราก็ดำเนินลีลารักกันต่อไปจนบรรลุจุดหมายปลายทาง แล้วหลับไปด้วยกันอย่างเป็นสุข
(มีต่อครับ)